7 วิธีทำตลาดออนไลน์ยังไงให้ขายดี?

7 วิธีทำตลาดออนไลน์ยังไงให้ขายดี?

เคยมั้ย ลองทำตลาดออนไลน์ด้วยตัวเอง ทำยังไงยอดก็ยังไม่ขึ้น คนเห็นโฆษณาแต่ไม่กดโฆษณา คนกดโฆษณาแต่ก็ไม่อ่านเนื้อหาในเว็บ คนอ่านเนื้อหาแล้วแต่ก็ไม่ซื้อ กดเข้าไปเลือกสินค้าแล้วแต่ก็ไม่กดใส่ตระกร้า กดใส่ตระกร้าแล้วก็ไม่ยอมจ่ายเงิน ทำให้คนทำตลาดหรือเจ้าของสินค้าอย่างเราก็แอบท้อไปบ้างไม่มากก็น้อย ทั้งๆที่ทำทุกอย่างแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นไปตามที่คิดอีก

1. รู้จักลูกค้า:

ถ้าเราทำตลาดออนไลน์ เราทำโฆษณาโดยที่เราไม่รู้จักลูกค้าว่าลูกค้าของเราคือใคร หรือเรากำหนดกลุ่มลูกค้าให้กว้างเกินไป ก็อาจจะทำให้เราโฆษณากว้างๆครอบคลุมหลายๆกลุ่ม แต่ไม่โดนเลยซักกลุ่ม เช่นว่า ถ้าขายครึมบำรุง และเรากำหนดกลุ่มเป้าหมายเราคือ ผู้หญิง (Female) ทุกคนในประเทศไทย เราก็กำลังโฆษณาไปยังผู้หญิงทั้งประเทศ ถ้าเปรียบกับข้อมูลของ Facebook ก็จะพบว่ามีประมาณ 20 กว่าล้านคน ซึ่งมันกว้างมาก มีผู้หญิงอีกนับไม่ถ้วนที่ไม่ต้องการใช้ครีม และไม่ต้องการใช้ครีมตัวนี้ ยี่ห้อนี้ ดังนั้นจะเห็นว่ายิ่งเราไม่รู้จักลูกค้า หรือเรากำหนดกลุ่มลูกค้ากว้างมากเกินไปจะทำให้โฆษณาเรายิงกวาดไปกว้างๆ ที่ดีควรจะกำหนดกลุ่มลูกค้าให้แคบลงมา เช่นถ้าขายสาววัยรุ่น ต้น ก็สามารถกำหนดให้แคบขึ้นเป็น ผู้หญิงอายุ 13-15ปี หรือว่าถ้าเป็นกลุ่มสาวมหาวิทยาลัยก็อาจเป็นอายุ 18-21 ปีก็จะทำให้กลุ่มเป้าหมายทั้งหมดแคบลงมาได้อีก และหากเรารู้จักกลุ่มลูกค้ามากขึ้นก็สามารถค่อยๆกำหนดรายละเอียดต่างๆให้แคบลงได้ตามไปด้วยเพื่อให้ใกล้เคียงกับกลุ่มเป้าหมายที่สุด

2. รู้ปัญหา:

ลูกค้ามีปัญหาอะไร กำลังมองหาทางแก้ปัญหาอะไรอยู่ การที่เรารู้ว่าลูกค้ามีปัญหาอะไร เราอาจจะนำเสนอสินค้าและโฆษณาสินค้าให้ตรงกับปัญหาของลูกค้าได้ ดีกว่าหว่านโฆษณาไปเรื่อยๆแล้วหวังว่าอาจจะมีบางอย่างโดนใจลูกค้า เช่นว่า แม้ผู้หญิงจะมองหาสินค้าเกี่ยวกับความสวยงามมากกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่า ถ้าคุณขายครีมแก้สิวแก้ฝ้า ผู้หญิงทุกคนจะสนใจ ลองโฆษณาให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น ลูกค้าที่ต้องการครีมแก้สิว น่าจะกำลังมองหาร้านคลินิกรักษาสิว วิธีรักษาสิวหรือแม้แต่มองหาครีมรักษาสิว น่าจะเป็นช่วงที่มองหาทางเลือกในการรักษา หรือแม้แต่การเข้าร่วมกลุ่มต่างๆเพื่อพูดคุยหารายละเอียด การนำเสนอสินค้าหรือบริการให้ตรงกับปัญหาจะเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างดี

3. รู้จักสินค้า:

จุดเด่น ประโยชน์ของสินค้าทั้งในแง่การใช้งานหรือความรู้สึกเมื่อได้ใช้ (Benefit / Feature) ซึ่งการที่เราเข้าใจสินค้าและประโยชน์ของสินค้าอย่างดีจะทำให้เรานำเสนอสินค้าเราเพื่อแก้ปัญหาให้กับลูกค้าที่กำลังมีปัญหานั้นๆได้อย่างดี รวมถึงเรายังสามารถนำข้อมูลจุดเด่นของสินค้าเหล่านี้มาเป็นคำโฆษณาเวลาเราทำโฆษณาได้ด้วย

4. รู้จักพฤติกรรม:

พฤติกรรมของการซื้อสินค้าของลูกค้าช่องทางในการซื้อ รวมถึงการหาข้อมูลหรือว่าทำความรู้จักสินค้า ในแต่ละสินค้าผู้บริโภคหรือลูกค้านั้นจะมีพฤติกรรมในการซื้อไม่เหมือนกัน ซึ่งบางคนก็อาจซื้อเมื่อได้เห็นการรีวิวสินค้า บางคนจะเก็บข้อมูลค้นหา บางคนแค่เพียงเห็นสินค้าโฆษณาขึ้นมาก็ตัดสินใจได้ทันที หากเรารู้จักลูกค้าและพฤติกรรมในการเลือกซื้อสินค้าของลูกค้าดีพอ เราจะเลือกช่องทางและเครื่องมือการโฆษณาสินค้าออนไลน์ได้ไม่ยาก เช่น หากลูกค้าชอบการรีวิว การทำคลิปบน youtube หรือการทำ live จะช่วยให้เห็นการใช้สินค้าได้อย่างดี การเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่เคยได้ใช้สินค้าไปได้มีโอกาสรีวิวสินค้าและเป็นการทำให้คนที่ชอบเลือกสินค้าจากรีวิวได้มีโอกาสได้ดูรีวิวจากผู้ใช้คนอื่นๆ หรือหาก ลูกค้าชอบที่จะหาข้อมูลเก็บข้อมูลก่อนตัดสินใจ การทำตลาดด้วย SEO หรือ Search Engine หรือการทำตลาดด้วย Google และทำให้อันดับในการค้นหาติดอันดับต้นๆได้ก็จะช่วยทำให้ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายได้รู้จักสินค้าเรามากขึ้น

5. เลือกเครื่องมือการตลาดออนไลน์ให้เหมาะสม:

ต่อจากการรู้จักพฤติกรรมของลูกค้า ซึ่งในโลกออนไลน์นั้น แต่ละคนไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับออนไลน์ช่องทางใดช่องทางหนึ่ง การเข้าถึงลูกค้าในช่องทางที่สำคัญและเป็นช่องทางที่เกี่ยวข้องกับสินค้าด้วยการผสมเครื่องมือการตลาดออนไลน์เข้าด้วยกัน ซึ่งในแต่ละเครื่องมือ อาจจะใช้สำหรับจุดประสงค์บางอย่างที่แตกต่างกัน แต่จำเป็นต้องใช้ด้วยกัน สำหรับกลุ่มลูกค้าบางกลุ่มที่ใช้เวลาบน social network อย่าง facebook มากๆแต่ไม่เคยซื้อของจาก facebook เลยแต่ไปกดเลือกซื้อจากบนเว็บด้วยการ search แทน และเลือกติดต่อกับคนขายผ่าน line แทนการโทรศัพท์ ด้วยพฤติกรรมแบบนี้ อาจจะโฆษณาให้เห็นบน facebook เพื่อสร้างการจดจำ รู้จักสินค้า รู้จักแบรนด์ผ่านตาบ่อยๆ และเมื่อกดค้นหาและค้นเจอแบรนด์เราสินค้าเราก็จะมีความคุ้นเคยและเลือกที่จะเข้าไปดู เข้าไปยังเว็บไซต์เพื่อดูรายละเอียดสินค้า ดังนั้น เราจึงต้องทำโฆษณาไว้ทั้ง 2-3 ช่องทาง ทั้ง facebook, google search และอาจรวมถึง line ด้วยทำให้เข้าถึงช่องทางต่างๆของลูกค้าได้

6. เลือก ads objective ให้ถูกต้อง:

หลักๆของ Objective ในการทำโฆษณาออนไลน์ไม่ว่าจะใช้เครื่องมือไหนก็ตาม จะต้องตอบคำถามว่าแคมเปญนี้มี objective ของการทำโฆษณาเพื่ออะไร นั่นไม่ใช่แค่การตั้งเพื่อให้ทำโฆษณาได้แต่เป็นการบอกกับตัวเองและเป็นการเริ่มคิดจริงๆว่าเราทำโฆษณาตัวนี้เพื่ออะไร โดยหลักแล้วก็จะมีอยู่ 3 จุดประสงค์ใหญ่ๆก็คือ Awareness, Consider, และ Conversion หรือ Action การเลือกจุดประสงค์โฆษณาในเหมาะสมนั้นจะทำให้เรามองภาพแคมเปญทั้งหมดออกว่า จุดที่จะวัดผล คืออะไร แคมเปญนี้จะตอบโจทย์อะไร เราจำเป็นต้องเลือกใช้แคมเปญต่างๆที่มีจุดประสงค์ต่างกันสำหรับการโปรโมทสินค้าสินค้านึง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพที่สูงสุด

7. เลือก Media ให้ตอบโจทย์:

สื่อ หรือ media นั้น ควรจะสอดคล้องกับจุดประสงค์ในรูปแบบ VDO, รูปภาพ, หรือเสียง เพราะในแต่ละสื่อนั้นก็จะมีรูปแบบที่แตกต่างกันให้เลือกใช้ได้ เช่น VDO อาจจะเป็น VDO การสาธิตสินค้า, VDO สัมภาษณ์ผู้ที่เคยใช้สินค้า, VDO ที่เน้นไปยังการขายภาพลักษณ์หรือ Emotional ต่างๆ, VDO การรีวิวสินค้า, VDO การใช้สินค้า, หรือ VDO โปรโมชั่น จะเห็นได้ว่าแม้แค่จะเป็นรูปแบบ VDO อย่างเดียวก็สามารถทำเนื้อหาที่หลากหลายได้ การเลือกสื่อให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าและความต้องการในแต่ละช่วงของการทำตลาดจึงเป็นเรื่องสำคัญที่มองข้ามไม่ได้อีกเรื่องนึง

จะเห็นได้ว่า ทุกเรื่องทุกหัวข้อนั้นมีความสัมพันธ์กันการขาดไปของข้อใดข้อนึง อาจทำให้ส่วนประกอบในแต่ละอย่างผิดเพี้ยนและทำให้การทำตลาดออนไลน์หรือทำโฆษณาออนไลน์นั้นลดประสิทธิภาพลง วันนี้ลองกลับไปดูธุรกิจของคุณว่า คุณลืมทำข้อไหน หรือว่ามีข้อไหนบ้างที่ไม่สอดคล้องกับธุรกิจ จึงทำให้การโฆษณาการทำตลาดออนไลน์ของคุณนั้นไม่ได้ผลอย่างที่ตั้งใจไว้ แล้วลองปรับให้สอดคล้องกันดูนะครับ